By pro 4 : สิงห์ตาแดงงาแกะ กระเช้าเดิมๆจากวัด หลวงพ่อหอม วัดชากหมาก…มีทั้งตบะและเมตตาในเครื่องรางทนสิทธิ์ชิ้นนี้ชิ้นเดียวขอรับ

เริ่ม 3.20 บาท
ปิด 3 ทุ่ม 20 นาทีวันนี้

🍀 ก่อนเวลาปิดประมูล 3 นาทีสุดท้าย หากมีผู้เข้าร่วมประมูลอีก จะเลื่อนเวลาการปิดประมูลออกไปอีก 3 นาที จนกว่า 3 นาทีสุดท้ายจะไม่มีผู้ประมูล จึงจะปิดการประมูลโดยสมบูรณ์

🍀 อนึ่งคำตัดสินของผู้ให้ประมูลถือเป็นสิ้นสุดในทุกกรณี

.
.
.
.
.
#นิทานประกอบ : สิงห์สาริกา หลวงพ่อหอม วัดชากหมาก
พุทธคุณสิงห์งาแกะ เด่นด้านมหาอำนาจ ปกป้องคุ้มครอง เมตตา โชคลาภ

ตามความเชื่อในส่วนของการบูชาหรือพกพารูปสัตว์ ต่างๆที่สร้างขึ้นเป็นเครื่องรางนั้น เป็นที่นิยมกันมานานหลายยุคหลายสมัยครูบาอาจารย์ท่านที่มีความเก่งกาจสามารถทั้งหลายท่านมักจะได้บรรจงสร้าง “รูปสัตว์”ทั้งหลายขึ้นมาแล้วปลุกเสกให้เป็นเช่นกับสัตว์นั้นๆได้ติดตามไปช่วยเหลือไปปกป้องคุ้มครองผู้ที่เป็นเจ้าของให้ตลอดไปสิงห์เป็นหนึ่งในบรรดารูปสัตว์ ที่นักนิยมเครื่องรางของขลังมักจะไขว่คว้าหามาติดตัวกันไว้ รูปสิงห์สามารถแกะขึ้นมาได้จากวัสดุต่างๆแต่ที่นิยมกันมากก็มักจะแกะจากงาช้าง เพราะนั่นคือความเป็นมหาอำนาจที่จักเกิดขึ้นจากพลังแห่งสัตว์ใหญ่ทั้งสอง
นั่นเอง ในอดีตมีสิงห์งาแกะที่ได้รับความนิยมกันมากก็คือ สิงห์งาแกะของหลวงพ่อเดิมวัดหนองโพ นครสวรรค์ ของหลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ สุพรรณบุรี ของหลวงพ่อทิม วัดพระขาว อยุธยา
สิงห์เป็นเจ้าแห่งสัตว์ป่า เป็นสัญญาลักษณ์
แห่งอำนาจ ความลึกลับ การต่อสู้ ความเป็นผู้นำ น่าเกรงขามเป็นที่ประหวั่นพรั่นพรึงของผู้ที่ได้พบเห็นในทุกเมื่อ ฉะนั้นการที่ใครๆได้พกพา หรือนำเอารูปเหมือนของพญาสิงห์ติดตัวไปด้วยนั้น ก็เท่ากับการได้นำเอาพลังและบารมีที่มีอยู่ประจำตัวสิงห์ ติดตามไปด้วยนั่นเอง ประการหนึ่ง และถ้ายิ่งได้รับการปลุกเสก ประจุด้วยพระคาถาอาคมขลังจากพระเกจิอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านไสยเวทย์ จะยิ่งทรงคุณค่ามหาศาลทวีคูณสุดๆ
การสร้างสิงห์ที่ถูกต้องตามโบราณจารย์และสร้างได้เข้มขลังนั้นมีอยู่ไม่กี่องค์ครับ ที่เด่นดังที่สุดก็หลวงพ่อเดิม และถัดมาก็มีอีกหลายองค์ครับ หลวงพ่อหอมวัดชากหมาก ท่านก็ถือเป็นเลิศด้านสิงห์ไม่เป็นรองใครในยุคนั้นนะครับ หลวงพ่อหอมท่านเสกสิงห์จนกระโดดโลดเต้นเมื่อท่านยังอยู่ในสมัยนั้นใครไปขอบูชาสิงห์จากท่านหากท่านเมตตาท่านจะเอาสิงห์สองตัวมาหันหน้าเข้าหากัน ตั้งไว้ห่างกันสักศอก แล้วท่านจึงเสกจนสิงห์กระโดดเข้าหากันเป็นใช้ได้ท่านทำให้ดูเพื่อให้ผู้ใช้ได้เกิดความเชื่อมั่น หลวงพ่อหอมท่านได้ร่ำเรียนวิชาการสร้างและเสกสิงห์มาจากไหนนั้นท่านไม่เคยได้บอกใคร แต่ประสบการณ์สิงห์งาแกะของท่านนั้นหายห่วงครับ ไม่ยิ่งหย่อนกว่าใคร สิงห์นั้นหากจะว่าไปแล้วเขาก็จะมีลักษณะเฉพาะของเขาสิงห์นั้นเป็นสัตว์ในตำนานและเป้นที่สุดแห่งมหาอำนาจในตำราโบราณของไทยเรา ลักษณะของสิงห์นั้น จะประกอบไปด้วย
1.ต้องอ้าปากเห็นฟันถือเป็นบรรลือสีหนาท เป็นตวาดฟ้าป่าหิมพาต์เป็นสกดและเป็นมหาอำนาจแผ่ก้องกังวานไกล
2.ลิ้นต้องยาวกวัดแกว่งเอาทรัพย์สมบัติเอาโชคลาภเงินทองเข้ามาสู่ ฉะนั้นการแกะต้องให้เห็นลิ้นที่ปากและปากก้ต้องอ้าเพื่อรับโชครับทรัพย์
3.ท้องของสิงห์ต้องมีลักษณะใหญ่หรือมีลักษณะที่กลมเพื่อให้มีการเก็บรักษาทรัพได้มากมาย และที่ลำตัวนั้นให้มีขวัญเป็นวงกลมให้หมายถึง วัฏฏะที่แปลว่าไม่มีที่สิ้นสุด ในชาวจีนถือเช่นนี้เหมือนกันชาวจีนให้หมายว่าเป็นโชคลาภที่เข้ามาไม่มีสิ้นสุด ถือเป็น infinity จริงๆแล้วการที่วงกลมอยู่คู่กันนั้นทั่วโลกถือเป็นมงคลเป็นความไม่มีที่สิ้นสุด และเมื่อนำมาเป็นสัญลักษณ์ที่ท้องของสิงห์ก็ให้หมายว่าเป็นการเก็บทรัพได้ไม่ม่ประมาณ
4.หางที่ยาวมีไว้เพื่อช่วยในการกวาดโชคลาภเงินทองความมั่งคลั่งและหางที่ยาวยังให้หมายถึงการขจัดอุปสรรค์ทั้งปวงเป็นการตวัดออเพื่อขับไล่อุปสรรค์ทั้งปวงและเมื่อกวาดเข้าให้เป็นการกวาดโชคกวาดลาภเข้ามา
5.สิงห์ต้องไม่มีรูทวารเพื่อการเก็บที่มิดชิดไม่มีรั่วไหลคนจีนถือเป็นเรื่องของเงินทองไม่รั่วไหล
6.การยืนของสิงห์ต้องตะหง่าน และให้มีลักษณะที่สง่างมาหมายเป็นมหาอำนาจและการอยู่เหนือสัตว์ทั้งมวลในสามโลก สิงห์นั้นเป็นเครื่องหมายแห่งมหาอำนากมาช้านานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุทธยาเป็นราชธานี ตำราการสร้างและเสกนั้นก็มีมานาน แม้แต่ที่สุดแห่งเจ้าทัพ คือ กรมพระราชวังบวร สุรสีหนาท มหาอุปราชวังหน้าองค์แรกแห่งแผ่นดินรัตนโกสินท์ท่านยังใช้ตราราชสีห์เป็นตราสัญลักษณ์แทนพระองค์ท่าน
โบราณจารย์ท่านสร้างและเสกไว้ให้ลูกหลานเพื่อเป็นเครื่องรางที่ทรงคุณค่าอย่างมหาศาล ให้เป็นโชคลาภ เป็นป้องกัน เป็นมหาอำนาจศัตรูคลั่นคล้าม เป็นความเจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เป็น ที่สุดแห่งมหาตบะเดชะ หากเรามองนึกย้อนไปดูการสร้างและการกำหนดให้เป็นสัญลักษณ์แล้ว ถือว่าภูมิปัยญาของครูบาอาจารย์ท่านนั้นไม่ธรรมดาจริงๆครับ เราๆท่านๆลูกหลานๆ ก็อย่ามัวแต่ตั้งเป็นราคาค่างวดกันซะจนแพงลิบลิ่วปั่นกันไปใหญ่โตนะครับ ถูกต้องแล้วครับของดีก็ย่อมมีราครแต่ หากเราหมายถึงปรัชญาแห่งโบราณจารย์ท่านได้กำหนดฝากไว้ให้ลูกหลานแล้วมันน่าจะลึกซึ้งตรึงใจและให้หวลคิดถึง
โบราณจารย์ท่านสร้างและเสกไว้ให้ลูกหลานเพื่อเป็นเครื่องรางที่ทรงคุณค่าอย่างมหาศาล ให้เป็นโชคลาภ เป็นป้องกัน เป็นมหาอำนาจศัตรูคลั่นคล้าม เป็นความเจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เป็น ที่สุดแห่งมหาตบะเดชะ หากเรามองนึกย้อนไปดูการสร้างและการกำหนดให้เป็นสัญลักษณ์แล้ว ถือว่าภูมิปัยญาของครูบาอาจารย์ท่านนั้นไม่ธรรมดาจริงๆครับ เราๆท่านๆลูกหลานๆ ก็อย่ามัวแต่ตั้งเป็นราคาค่างวดกันซะจนแพงลิบลิ่วปั่นกันไปใหญ่โตนะครับ ถูกต้องแล้วครับของดีก็ย่อมมีราครแต่ หากเราหมายถึงปรัชญาแห่งโบราณจารย์ท่านได้กำหนดฝากไว้ให้ลูกหลานแล้วมันน่าจะลึกซึ้งตรึงใจและให้หวลคิดถึงความเมตตาที่ท่านมีต่อลูกหลานในยุคปัจจุบันมากกว่านะครับ
ประวัติหลวงพ่อหอม วัดซากหมาก

หลวงพ่อหอม (พระครูภาวนานุโยค) แห่งวัดชากหมาก หมู่ 2 ต.สำนักท้อน อ.บ้านฉาง จ.ระยอง ห่างจากตัวอำเภอบ้านฉางเข้าไปทางสี่แยกระยะทาง ประมาณ 9 กม. วัดชากหมาก (ป่าเรไร ) เป็นวัดเล็ก ๆ เงียบสงบ ในอดีตเคยเป็นวัดที่มีชื่อเสียงโด่งดังในทางคุณวิเศษอันลือลั่น หลวงพ่อหอมซึ่งเป็น เจ้าอาวาสในสมัยที่มีชีวิต มักจะถูกอาราธนาไปร่วมในการประกอบพิธีพุทธาภิเษกที่สำคัญ ทั้งราชพิธีและพิธีสามัญ สม่ำเสมอทั่วประเทศไทย ผู้นิยม วัตถุมงคลน้อยคนที่จะไม่ได้ยินกิตติศัพท์ความเป็นผู้ทรงพุทธเวทย์ของท่าน จากวัตถุมงคลที่ได้ปลุกเศกไม่ว่าจะเป็นสิงห์งาช้าง ขี้ผึ้ง นางกวัก งาช้าง ไชมงคล พระกริ่งรูปเหมือน แหนบรูป เหมือน เหรียญรูปเหมือน แหวนทอง
เมื่อ 2500 รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี มีการจัดให้มีงานฉลอง 25 ปี พุทธศตวรรษขึ้นนับเป็นพิธีใหญ่ที่สุดในพุทธอาณาจักร โดยมีการจัดทำพระเครื่อง พระบูชา และวัตถุมงคล ไว้เป็นที่ระลึกจำนวนมากหลวงพ่อหอมเป็น 1 ในจำนวน 108 รูปของพระเวทยาจารย์ผู้ทรง คุณวิเศษที่รัฐบาลอาราธนาไปร่วมพุทธาภิเษกในมลฑลพิธี ณ ท้องสนามหลวง กรุงเทพฯ แม้เมื่อประกอบ พิธีเสร็จก็ยังมีผู้คนหลั่งไหลไปขอพรไม่ขาดสาย จนศิษย์ต้อง ออกมาขอร้องให้หลวงพ่อ พักผ่อนบ้างแต่หลวงพ่อกลับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเปี่ยมเมตตาว่า “ช่างเขาเถอะลูก” และเป็นคำพูดที่ถูกใช้ติดปาก เรื่อยมาจนหลวงพ่อหมดสิ้นอายุขัย
การก่อสร้างวัดชากหมากเมื่อประมาณพ.ศ.2471 ชากหมากซึ่งมีสภาพเป็นป่าดงดิบเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย เสือ ช้าง หมูป่า หลวงพ่อได้พบเรือนไม้ หลังคุ้มไม้ไผ่ 2 หลัง สอบถามชาวบ้าน ได้ความว่า เป็น สำนักสงฆ์ ซึ่งพระอาจารย์ล้ำเคยอยู่มาก่อน แต่ปล่อยร้างมา 10 ปี หลวงพ่อหอมจึงตกลงใจ ฟื้นฟูสำนักสงฆ์นี้ให้เป็นวัดขึ้นมาและได้ออกป่าไปจำพรรษาที่ถ้ำเขานั่ง หย่อง แล้วก็ได้ปรากฎสิ่งมหัศจรรย์ขึ้น
สิ่งมหัศจรรย์ที่ปรากฎมีช้าง เสือ และสัตว์ร้ายมาวนเวียนอยู่ใกล้หลวงพ่อตลอดเวลา แต่สัตว์ร้ายก็ไม่เข้ามาทำร้ายหลวงพ่อนานวันจนเกิดความคุ้นเคย สัตว์เหล่านั้นก็เชื่องและสามารถรับรู้คำพูด หลวงพ่อ ได้ เมื่อหลวงพ่อนำชาวบ้านมาช่วยกันตัดต้นไม้ในป่านั้นมาทำวัดได้แล้วก็เกิด ปัญหา ไม่สามารถ ชักลากไม้ลงมาได้ระยะทางก็ไกลกันถึง 7 กม. ชาวบ้านจึงลงจากเขามาปรึกษาหาทาง นำไม้ที่ตัดไว้ลงมาแต่หลวงพ่อกลับขึ้นไปบ้นเขาเพื่อสำรวจหา ช่องทางอีกครั้ง หลังจากนั้นชาวบ้านก็ต้องประหลาดใจเพราะพบท่อนไม้ที่ตัดไว้นั้น ลงมากองอยู่ที่เชิงเขาอย่างครบถ้วน และยังเห็น รอยเท้าช้างป่า ขนาดใหญ่อยู่รอบบริเวณนั้นมากมายคาดว่าน่ำจะเป็นช้างทีคุ้นเคยกับหลวงพ่อมา ช่วยกันชักลากลงมา เมื่อชาวบ้านรู้เข้าจึงทำให้เกิดความเลื่อมใส ศรัทธาหลวงพ่อ นับเป็นต้นมา หลังสร้างวัดเสร็จไม่นานก็มีชาวบ้านใกล้ ๆ มาแจ้งหลวงพ่อว่ามีช้างป่าลงมากินพืชผักที่ปลูกไว้จนเสียหาย ตนจะยิงช้างก็เกรงใจหลวงพ่อ จึงขอให้หลวงพ่อ ช่วยแก้ไขหลวงพ่อ ก็รับปากว่า จะช่วยพร้อมกับลุกขึ้นเดินไปยืนบริกรรมสักครู่ที่หน้าวัด แล้วร้อยตะโกนขึ้นว่า “ลูกหลาน พญาฉัททันต์อย่าไปเหยียบย่ำของเขาเลยเจ้าของเขาจะยิงเอา ของเรามีอยู่แล้วในแปลงขวามือไปกินได้” ซึ่งภายหลังก็ปรากฎว่าไม่มีช้าง เข้าไปรบกวนชาวบ้านอีกเลย แต่ปรากฎว่าพืชผักที่อยู่บริเวณวัดกลับไม่มีเหลืออยู่เลย
เมื่อประมาณ พ.ศ.2481 หลวงพ่อบวชได้ 12 พรรษาแล้ว มีนายพรานช้างมาขอพักที่วัดและบอกหลวงพ่อว่า จะมาล่าช้างในป่าแถบนี้แต่เวลาใกล้ค่ำ จึงขอพักเอาแรงที่วัดก่อนหลวงพ่อ ก็อนุญาต และ ไปยืนบริกรรมที่หน้าวัดสักครู่ เมื่อนายพรานออกป่าเพื่อล่าช้างก็ปรากฎว่าไม่พบช้างแเยแม้แต่ตัวเดียว
ต่อมาหลวงพ่อกับภิกษุอีก 4 รูป ได้ธุดงค์ไปเพื่อหากระเพรา 7 อ้อม เมื่อเดินไปถึง อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณี ก็พบศาลายกพื้นสูงมากหลังหนึ่ง ตั้งอยู่ในป่าทึบมีข้อความเขียนไว้ว่า “ใครผ่านทางนี้ เมื่อมืดแล้วให้ขึ้นข้างบนเพราะมีสัตว์ชุกชุมมาก”แต่หลวงพ่อกลับบอกพระที่ไป ด้วยกันว่าเรา ปักกลดอยู่ข้างล่างนี้แหละ และทั้งหมดก็ปักกลดลงข้างล่างนั้นเอง เมื่อปักกลดแล้ว หลวงพ่อก็เสกทรายซัด ล้อมกลดไว้โดยรอบพร้อมสั่งพระที่ไปด้วยกัน ทั้งหมดว่าอย่าได้ออกนอกกลดเป็นอันขาดไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น แล้วก็ชวนกันนั้งสมาธิเจริญภาวนาแผ่เมตตาแก่สรรพสัตว์ ในคืนนั้นเองก็มีสัตว์ร้าย หลายชนิดมาวนเวียนรอบ ๆ กลดแต่ไม่มีตัวใดเข้ามาทำร้ายหลวงพ่อและพระภิกษุอีก 4 รูปเลย จนรุ่งสางหลวงพ่อหอมจึงเดินทางต่อเมื่อเดินทางต่อไป หลวงพ่อเล่าว่าหนทางเป็นป่าเขา โดยตลอด เดินทาง 3 วัน ก็ไม่พบบ้านคนเลยต้องอดข้าวกันทั้ง 3 วัน จนกระทั้งวันที่ 4 จึงได้สวนทางกับชายคนหนึ่ง หาบขนบจีนผ่านมาแล้วเอาขนมจีนนั้นถวายทุกองค์ได้ฉันจนอิ่ม หลวงพ่อ ได้ถามชายคนนั้นว่า “ต่อจากที่นี่ไปอีกไกลมากไหมจึงจะถึงบ้านคน” ชายผู้นั้นตอบว่า “พอพลบค่ำก็จะเห็นแสงไฟบ้านคน” แล้วเดินหายไปในป่านั้น หลวงพ่อจึงชวนพระที่ไปด้วยออกเดินทางต่อ ซึ่งตลอดทาง ที่เดินผ่าน นั้นไม่พบบ้านคนจริงตามที่ผู้นั้นบอกไว้ จึงชวนพระ ที่ไปด้วยกันทั้งหมดปัก กลดพักที่บริเวณใกล้ ๆ กับหมู่บ้านนั้น แล้วก็เดินทางกลับ วัดชากหมากโดยไม่พบกระเพรา 7 อ้อม มาตามต้องการ ส่วนเรื่องที่พบคนนำขนมจีนมาถวายกลางป่าทั้ง ๆ ที่บริเวณใกล้ ๆไม่ม่บ้านคนเลยก็คง เป็นปริศนาให้ต้องแปลกใจอยู่ตลอด
วิทยาเวทย์ที่เป็นคุณวิเศษของหลวงพ่อหอมวัดชากหมากอีกประการหนึ่งที่ยังไม่ เคยได้เรียนรู้มาก่อน คือ “การต่อชะตาดิน” ซึ่งคุณวิเศษนี้ก็เป็นที่เลื่องลือในความศักดิ์สิทธิ์ของท่านอย่างมากที เดียว คือหากที่ดินของผู้ใดที่ เคยอยู่อาศัย หรือใช้ประกอบกิจการใดๆ มาก่อนเกิดอาการเสื่อมทรามลง หลวงพ่อก็จะไปทำพิธี “ฝังหิน” ให้แล้วกิจการบนที่ดินแห่งนั้น ก็จะกลับคืนเป็นคุณแก่เจ้าของดังเดิม อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ซึ่งวิชาต่อชะตาดินนี้ได้เคยมีบรรดาศิษย์อยากจะขอเรียนจากหลวงพ่อ แต่หลวงพ่อก็บอกว่าผู้ที่จะเรียนได้จะต้องเป็นภิกษุเท่านั้น และเมื่อเรียนแล้วก็จะต้อง ตั้งนโมปนิธาณ ด้วยว่า “จะบวชจนตายในผ้ากาสาวพัตร์” คือจะสึกออกไปครองเพศฆราวาสไม่ได้อย่างเด็ดขาด ถ้าผิดไปจากนี้แล้วจะต้องถูก “ฟ้าผ่า” ทันทีจึงไม่มีใครกล้าพอที่จะเรียนต่อจากท่าน เพราะการบวช เป็นพระภิกษุในพระพุทธ ศาสนานี้ไม่ใช่เป็นของง่ายนักที่ประกาศตนว่าจะไม่สึกไว้ล่วงหน้า
นอกจากหลวงพ่อหอมวัดชากหมากจะเป็นผู้มีวิทยาคุณในทางเครื่องลางของขลังแล้ว ท่านยังเป็นเชี่ยวชาญในทางรักษาโรคภัยไข้เจ็บนานาชนิดอีกด้วย ทั้งนี้เพราะท่านได้เคย ศึกษาเล่าเรียน มาจาก ทางบิดาของท่านซึ่งเป็นแพทย์ ประจำตำบลในสมัยเมื่อท่านยังเป็นฆราวาสอยู่นั้นตามธรรดาทุกๆวัน จะมีคนป่วยด้วยโรคต่างๆ มาหาท่านที่วัดเพื่อขอให้ท่านขจัดปัดเป่า โรคร้ายเหล่านั้น ให้หาย วันหนึ่งๆ ถึง 40-50 คน หลวงพ่อจึงเป็นภิกษุผู้ได้รับความเคารพนับถือ อย่างสูง ทั้งที่เป็นคนไทย จีน แขก ซิกส์ และฝรั่ง ดังจะเห็นได้จากเมื่อหลวงพ่อมรณภาพได้มีผู้หลั่งไหลกันไป เคารพศพของท่านอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะวันถวายน้ำสรงศพของท่าน เจ้าหน้าที่ได้จัดให้เรียงแถวกันเข้าไปต้องใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมง จึงหมดคนที่ไปถวายน้ำสรงท่าน
หลวงพ่อหอม จนทโชโต หรือพระครูภาวนานุโยค อดีตเจ้าอาวาสวัดชากหมาก หมู่ที่ 2 ตำบลสำนักท้อน อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง เดิมชื่อ หอม ทองสัมฤทธิ์ เกิดวันจันทร์ เดือน 10 ปีขาล พุทธศักราช 2433 เป็นบุตร ของนายสัมฤทธิ์ กับนางพุ่ม ทองสัมฤทธิ์ เป็นชาวบ้านสำนักท้อน อำเภอบ้านฉาง จังหวักรอยง มีพี่น้องร่วมบิดา มารดาเดียวกัน 3 คน หลวงพ่อเป็นคนสุดท้าย พี่ๆ สองคนเป็นหญิงคนโตชื่อนางวอน คนรองชื่อนางเชื่อม
เมื่อเยาว์วัยอาศัยอยู่กับบิดามารดาที่บ้านเกิดของท่านเอง ส่วนในด้านการศึกษาเบื้องต้นนั้น เป็นที่น่าเสียดายที่ ไม่มีผู้ใดทราบว่าท่านได้ศึกษากับใครที่ไหน เพราะในสมัยนั้น โรงเรียนในชนบท ห่างไกลจากความเจริญ เช่นบ้านเกิดของ หลวงพ่อคงจะไม่มีตั้งขึ้นแน่นอนโรงเรียนที่มีอยู่ในปัจจุบัน เช่น โรงเรียนวัดสมบูรณาราม โรงเรียนวัดชากหมาก โรงเรียนวัดสุวรรณรังสรรค์ ล้วนแต่พึ่ง ตั้งขึ้นมาไม่ถึง 50 ปีทั้งนัน ถ้าในสมัยหลวงพ่อหอม 8-15 ปี มีโรงเรียนอยู่ที่บ้านเกิด ของท่านแล้วโรงเรียนนั้นก็จะต้องมีอายุมาถึงปัจจุบันไม่ต่ำกว่า 75 ปี จึงสันนิษฐานว่าหลวงพ่อ น่าจะเริ่ม ศึกษาเมื่อตอน ได้อุปสมบทแล้วมากกว่า
หลวงพ่อหอมวัดชากหมาก ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาเมื่อปีศักราช 2469 อายุ 36 ปี พัทธสีมาวัดทับมา ตำบลทับมา อำเภอเมือง จังหวัดระยอง โดยมีหลวงพ่อขาววัดทับมา เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อจิ๊ด วัดเขาตาแขกเป็นพระกรรมวาจารย์และหลวงพ่อชื่น (ปัจจุบันเป็นพระครูพิพิธวรญาณ และยังมีชีวิตอยู่วัดมาบข่า เป็นอนุสาวนาจารย์)
เมื่อหลวงพ่อหอมอุปสมบทใหม่ ๆ ยังเป็นพระภิกษุผู้น้อยด้วยคุณวุฒิไม่อาจที่จะปกครองตนเองและผู้อื่นได้จึง ยังจำพรรษาศึกษาพระธรรมวินัยเบื้องต้นในฐานะอันเตวาสิกของหลวงพ่อชื่นอยู่ ที่วัดมาบข่า แต่เพียงชั่วระยะ 2 พรรษา เท่านั้น หลวงพ่อหอมก็เป็นผู้แตกฉานในพระธรรมวินัยอย่างอัศจรรย์ เนื่องจากเป็นผู้มีความเพียรในการศึกษาเป็นเลิศ ยากที่จะหา พระภิกษุรูปใดในรุ่นเดียวกันเสมอ และหลวงพ่อชื่นเองก็ยังเคยปรารภให้พระภิกษุรูปอื่นๆ ฟังว่า “อีกหน่อยคุณหอมเขาจะหอมทวนลมนะ” และต่อมาหลวงพ่อหอมก็ไก้กลายเป็นหลวงพ่อผู้มีชื่อเสียงหอมทวนลมจริงดังคำ ของหลวงพ่อชื่นนั้น เมื่อหลวงพ่อหอมได้รับอนุญาตจากหลวงพ่อชื่น ซึ่งเป็นพระอาจารย์เบื้องต้นให้ไปอยู่ทีวัดชากหมากใกล้ ๆ บ้านเกิดของท่านได้พยายามศึกษาพุทธเวทย์เพิ่มเดิมอย่างจริงจัง จนเป็นที่ประจักษ์แก่ บรรดาศิษยานุศิษย์ถ้วนหน้า และนอกจากจะได้ราษฎรช่วยเหลือกันพึ่งทางใจแก่ผู้เลื่อมใสแล้ว ยังได้สร้างอาคารเรียน”หอมราษฎร์วิทยา” ถึง สองหลังซึ่งเป็นเงิน ที่หลวงพ่อได้รับ จากราษฎรช่วยเหลือกัน จำนวน 1,980,000 บาท รัฐบาลช่วยสมทบ 200,000 บาท เพื่อสร้างอาคารเรียนให้เด็กๆ ได้เล่าเรียนสร้างอุโบสถศาลาการเปรียญ หอระฆังคอนกรีต หอไตรกลางสระน้ำ กุฏิตึก 2 ชั้น ซุ้มประตูคอนกรีตหน้าวัด กำแพงรอบวัด หอสวดมนต์ และสังหาริมทรัพย์อื่นๆ อีกมากจนเกือบวาระสุดท้าย ยังได้สร้างกุฏิครึ่งตึกครึ่งไม้เพิ่มอีก 1 หลัง แต่ไม่ทันเสร็จก็ถึงแก่มรณภาพ
ด้วยคุณงามความดีที่ปรากฎนี้เอง หลวงพ่อจึงได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชรัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี พระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระครูสัญญาบัตรชั้นตรี ที่พระครูภาวนานุโยคในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2507 เป็นเกียรติประวัติ — — — — ที่ Deaw Amulet Shop


โดยสมาชิก ชื่อ เดียว ทะเลจืด

จากกลุ่ม ตลาดนัด ตลาดประมูล ซื้อขาย พระเครื่อง พระบูชา by ทะเลจืด