By pro 1 : เหรียญหลวงพ่อพรหม วัดน้ำขาวใน รุ่นแรก ปี2513

By pro 1 : เหรียญหลวงพ่อพรหม วัดน้ำขาวใน รุ่นแรก ปี2513 #สวยแชมป์_เก็บเหรียญเดียวจบ

เริ่ม 3.05 บาท
ปิด 3 ทุ่ม 5 นาทีวันนี้

🍀 ก่อนเวลาปิดประมูล 3 นาทีสุดท้าย หากมีผู้เข้าร่วมประมูลอีก จะเลื่อนเวลาการปิดประมูลออกไปอีก 3 นาที จนกว่า 3 นาทีสุดท้ายจะไม่มีผู้ประมูล จึงจะปิดการประมูลโดยสมบูรณ์

🍀 อนึ่งคำตัดสินของผู้ให้ประมูลถือเป็นสิ้นสุดในทุกกรณี

.
.
.
.
.

#นิทานประกอบ : สุดยอดเหรียญหายากและยอดนิยมของ จ.สงขลา คนแถววัดมักจะเรียกว่าปู่เจ้าพรหม แสดงถึงความนับถือถึงขีดสุด ของคนแถวนั้น เชื่อไม๊ครับ แม่ของอาเขยห้อยรุ่นนี้องค์เดียวโดดๆเลย ท่านเล่าว่าตัวท่านรอดตายมาแล้วหลายครั้ง มีครั้งหนึ่งนั่งรถขณะรถจะชน ท่านได้พลั้งพูดเอ่ยชื่อ ปู่เจ้าพรหม ช่วยด้วย ปรากฎว่ารอดตายอย่างปาฎิหาริย์ อาเขยเล่าให้ฟังว่า ญาติของท่าน ตอนเป็นเด็ก เคยดดนรถ 6ล้อชนจังๆ นอนกองอยู่กลางถนน แล้ว รถ6ล้อยังถอยมาทับอีกที แล้ว กระชากล้อ อย่างแรง ร่างญาติของอาผมซึ่งเป็นเด็กเสื้อผ้าขาดวิ้น หลังเป็นรอยดำล้อรถ 6 ล้อ ญาตินำเด็กส่งโรงพยาบาล สลบไม่รุ้สึกตัว แพทย์ตรวจ่างการไม่มีกระดูกหัก บาดแผล เลย สลบผ่านไป 3 วัน เด็กคนนั้นลุกขึ้นมาขอน้ำแล้ววิ่งเล่นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นในคอเด็ก

เหรียญหลวงพ่อพรหม วัดน้ำขาวใน จ.สงขลา รุ่นแรก ปี2513

พระครูพรหมวุฒาจารย์ ( พรหม รตฺยาภาโส ) อดีตเจ้าอาวาสวัดน้ำขาวใน
นามเดิม พรม แก้วศรี ( ภายหลังเขียน “พรหม” ตามนามสมณศักดิ์ ) ถือกำเนิดที่ บ้านคูย่างควาย ( บ้านคูหัวนอน ) หมู่ที่ 8 เมื่อ พ.ศ.2436 ปีมะเส็ง ( ไม่ทราบวันเดือนปีเกิดที่แน่นอน ) มรณภาพเมื่อ 16 มกราคม 2512 รวมอายุของท่าน 77 ปี มีพรรษา 56 พรรษา

หลวงพ่อพรหม นามเดิม พรม แก้วศรี ถือกำเนิดที่บ้านคูย่างควาย หมู่ที่ 8 ต. น้ำขาว อ.จะนะ จ.สงขลา เมื่อ พ.ศ. 2436 ปีมะเส็ง บิดาชื่อ นายเพชรแก้ว มารดาชื่อ นางเรือง แก้วศรีมีพี่น้อง 6 คน
ปฐมวัยตอนนั้นยังไม่มีโรงเรียนได้ศึกษาภาษาไทยกับพระภิกษุที่วัดน้ำขาวใน จนอ่านออกเขียนได้คล่องแคล่ว จนกระทั่งโตเป็นหนุ่มอายุ 18 ปี จึงได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดมัชฌิมาวาส สงขลา มีพระครูวิสุทธิโมลี เจ้าอาวาสวัดมัชฌิมาวาสเป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ได้อุปสมบทที่วัดมัชฌิมวาสอีกครั้งหนึ่ง โดยมีพระอโนมคุณมุนี เจ้าคณะจังหวัดสงขลาเป็นพระอุปัชฌาย์ ภายหลังได้กลับมาจำพรรษา ณ วัดน้ำขาวใน
ภายหลังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดน้ำขาวใน และรับเป็นผู้อุปถัมภ์โรงเรียนประชาบาลวัดน้ำขาวใน เมื่อ พ.ศ.2466
ต่อมาเมื่อ พ.ศ.2502 ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นสัญญาบัตรที่ พระครูพรหมวุฒาจารย์ ตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าคณะอำเภอจะนะ – เทพา ( ธ ) ครองตำแหน่งนี้อยู่ราว 10 ปีก็ถึงแก่มรณภาพเมื่อเวลา 18.10 น. ของวันที่ 16 มกราคม 2512
ท่านเป็นพระนักปฏิบัติธรรมะและนักพัฒนากันไปในตัว ท่านอบรมสั่งสอนพระภิกษุสามเณรไม่เฉพาะแต่ฝ่ายศาสนกิจเพียงอย่างเดียว แต่ท่านอบรมฝึกหัดวิชาช่างไม้แก่พระภิกษุสามเณรด้วย
ต่อมาท่านได้สร้างอุโบสถหลังใหม่แทนหลังเก่าที่คับแคบ ใช้เวลานานถึง 6 ปีนับเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายซึ่งยืนเด่นเป็นสง่าให้เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน และในวันที่ 16 มกราคม ของทุกปีบรรดาศิษยานุศิษย์ร่วมกันจัดงานเพื่อระลึกถึงวันคล้ายวันมรณภาพของ ท่าน

เรื่องที่1….
เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2552 ข้าพเจ้าและภรรยา (อาจารย์วรรณา แก้วมหากาฬ) ได้ไปหาหมอที่คลินิคนอกเวลา โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ หาดใหญ่ ขากลับมาถึงทางแยกบ้านประจ่า อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา เวลาประมาณ 18:30 น. มีรถบรรทุกไม้ยางพารา รอเลี้ยวอยู่ข้างหน้า เพราะมีรถสวนทางมาพอดี ข้าพเจ้ามองไม่เห็นรถ พุ่งเข้าชนรถบรรทุกไม้ยางพาราอย่างจัง
รถบรรทุกไม้ยางพาราเคลื่อนไปข้างหน้า ส่วนรถของข้าพเจ้า จอดสนิทอยู่กับที่ ความรู้สึกในขณะที่ชน เหมือนกับว่ากำแพงสีดำหนาทึบ กันรถให้หยุดอยู่กับที่ได้ ผลปรากฏว่า รถเก๋งโตโยต้า วีออส รุ่นใหม่ ด้านหน้ายุบไม่มีดี คานช่วงกลางแอ่นถึงพื้น ส่วนท้ายอยู่ในสภาพที่ดีไม่มีรอยยุบ ข้าพเจ้าไม่เป็นอะไร หมอเอกซเรย์เสร็จบอกให้กลับบ้านได้ ส่วนภรรยามีอาการเจ็บที่หน้าอก เพราะแรงกาะแทก หมอโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ หาดใหญ่ ให้นอนรักษาดูอาการ 8 วัน เมื่อเห็นว่าปลอดภัย จึงอนุญาตให้กลบบ้านได้
คนที่ไปเห็นสภาพรถในคืนนั้น พูดได้คำเดียวว่า เดชะบุญ (หน้ารถตรงที่นั่งคนขับ มีหลวงพ่อพรหม ขนาดวางหน้ารถ 1 องค์ ข้าพเจ้าแขวนหลวงพ่อทวด 1 องค์ ส่วนภรรยา แขวน หลวงพ่อพรหม อยู่ที่คอด้วย 1 องค์)
เหตุการณ์ระทึกขวัญ กับ ข้าพเจ้า และ ครอบครัว ถึง 3 ครั้ง ดังที่บันทึกไว้แล้วมาเล่าต่อ ขอให้ผู้อ่านทุกท่าน ได้พิจารณาว่าเป็นอภินิหารหรือไม่ แต่สำหรับข้าพเจ้าเชื่อเหมือนกับที่หลายคนเชื่อ ด้วยบารมีอภินิหารที่ข้าพเจ้าและอีกหลายๆคนได้รับและประสบมา ได้ช่วยปกป้องคุ้มครอง คนดีประพฤติดี มีคุณธรรม ให้อยู่รอดปลอดภัยตลอดไป

เรื่องที่2…..
เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2543 ช่วงปิดภาคเรียน ข้าพเจ้าพร้อมด้วยภรรยา (อาจารย์วรรณา แก้วมหากาฬ) เดินทางไปเยี่ยมลูกสาวที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ไปถึลสี่แยกตะโหมด รถติดไฟแดง พอไฟเขียว ออกรถผ่านสี่แยกไปได้ประมาณ 100 เมตร มีรถ 6 ล้อ ที่ต่อเป็นห้องเย็น ขับสวนทางมา ด้วยสาเหคุอะไรไม่ทราบได้ อยู่ๆรถคันดังกล่าวเกิดวิ่งข้ามเกาะกลางถนน ในสภาพเสียหลัก ข้าพเจ้าเบรครถโดยกระทันหัน รถคันดังกล่าวหักพวงมาลัยกลับ ข้ามเกาะกลางถนนไปเข้าเส้นทางเดิม ปาดหน้าข้าพเจ้าประมาณ 5 – 6 เมตร ขณะนั้นข้าพเจ้าบอกตรงๆว่าทำอะไรไม่ถูก นั่งหลับตานึกว่า ถ้าไม่ตายก็รอด แต่ก็รอดมาได้จริงๆ วันนั้นภายในรถด้านหน้า มีหลวงพ่อพรหม ที่คอแขน 3 องค์ คือ หลวงพ่อทวดวัดช้างไห้ หลวงพ่ออิ่มวัดในวัง ส่วภรรยามี หลวงพ่อพรหม องค์เดียว

เรื่องที3…..
วันที่จำไม่ได้ จำได้เพียงว่าเป็น วันอังคาร เดือนพฤษภาคม 2520 ข้าพเจ้า กับ คุณแม่แจ่ม แก้วมหากาฬ ได้ไปงานบวชน้อง ซึ่งเป็นลูกของ คุณพ่อนำ คุณแม่ลี่ พรหมรัตน์ (ผู้มีพระคุณที่เคยอยู่อาศัย ตอนรับราชการที่อำเภอสะบ้าย้อย) ที่บ้านทุ่งเภา ตำบลเปียน อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัสงขลา ออกจากบ้านเวลาบ่ายโมงกว่าๆ หากใครมีความเชื่อในยามอุบากอง คงจำได้ว่าเวลาไหนควรทำอะไร วันอังคาร 13:13 น. เป็นยามกากบาต ท่านกล่าวไว้ว่า กากบาดตัวอัปปรีย์ แม้จรลีจะปราชัย
วันนั้นข้าพเจ้าออกเดินทางจากบ้านเวลานั้นพอดี ขับรถยนค์บรรทุกข้าวสารไปช่วยงาน 1 กระสอบป่านล่องเขียว (100กิโลกรัม) ไปถึงช่วงระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 39 – 40 ก่อนขึ้นควนหมาแหงน เป็นทางโค้ง ฝนตกถนนลื่น รถเสียหลักพลิกคว่ำหลายตลบ ตกเหลวลึกประมาณ 5 เมตร ข้าพเจ้ากระเด็นออกนอกรถ ส่วนคุณแม่ติดอยู่ในรถ เราสองคนแม่ลูกต่างเรียกหากัน จนเหตุการณ์สงบ ข้าพเจ้าคลานไปที่รถ เห็นคุณแม่อยู่ในรถมีเลือดที่ศรีษะ เพราะกระจกบาดเป็นแผลประมาณ 1 นิ้ว ส่วนข้าพเจ้ามีอาการเจ็บที่หน้าอกเล็กน้อย
ไม่นานมีชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นมาถึง ร้องถามว่าใครเป็นอะไร หลายคนพูดออกมาว่าไม่น่รอด (เพราะที่ผ่านมา ถ้าตกลงตรงนั้น ไม่รอดสักราย เป็นคำพูดของชาวบ้าน)
ก่อนออกจากบ้าน คุณแม่พนมมือไหว้ แล้วอธิษฐานให้ หลวงพ่อพรหม ช่วยปกป้องคุ้มครอง และ ให้เดินทางด้วยความปลอดภัย
เหตุการณ์ระทึกขวัญ กับ ข้าพเจ้า และ ครอบครัว ถึง 3 ครั้ง ดังที่บันทึกไว้แล้วมาเล่าต่อ ขอให้ผู้อ่านทุกท่าน ได้พิจารณาว่าเป็นอภินิหารหรือไม่ แต่สำหรับข้าพเจ้าเชื่อเหมือนกับที่หลายคนเชื่อ ด้วยบารมีอภินิหารที่ข้าพเจ้าและอีกหลายๆคนได้รับและประสบมา ได้ช่วยปกป้องคุ้มครอง คนดีประพฤติดี มีคุณธรรม ให้อยู่รอดปลอดภัยตลอดไป

เรื่องที่4…..
เหตุเกิดในสมัยที่พระครูพรหมวุฒาจารย์ ยังมีชีวิตอยู่ นายช่วง แก้วทอง บ้านคลองแงะ ได้พูดทีเล่นทีจริง (ไม่เชิงกับบนบานอะไร) เรื่องมีว่า วันหนึ่ง นายช่วง ไปเผาป่าเพื่อทำไร่ข้าว ก่อนลงมือจุดไฟเผาป่า แกพูดเล่นๆแถมตลกว่า ถ้าไฟที่เผานี้ไม่ลุกลามไปเผาผลาญสวนยางที่อยู่ข้างเคียง แกจะไปขอไม้ขีดไฟจาก น้าเจ้าพรหม สักหนึ่งกล่อง ฟังสำนวนที่นายช่วงพูด คงจะไม่เอาจริงเอาจังอะไรมากนัก แต่จะเป็นเหตุบังเอิญหรืออะไรก็แล้วแต่ ไฟก็ไม่ลุกลามเข้าไปในสวนยางพาราข้างเคียงจริงๆตามที่นายช่วงพูดไว้ หลังจากนั้นนายช่วงก็อยู่เฉยๆ ไม่ไปขอไม้ขีดไฟจากน้าเจ้าฯ แต่อย่างใด เพราะถือว่าพูดเล่นๆ ไม่คิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นในภายหลัง
แต่เป็นที่น่าประหลาดใจ อยู่มาวันหนึ่ง นายช่วง เกิดปวดหัวขึ้นมาโดยไม่ทราบถึงสาเหตุ อาการปวดรุนแรงมาก หายาแก้ปวด-สมุนไพรขนานใดๆมารับประทาน-มาทาก็ไม่หาย นายช่วง นั่งคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง ก็นึกขึ้นได้ว่า คงจะเนื่องมาจากการพูดเล่นๆนี่แหละ ที่ทำให้แกมีอาการปวดหัว คราวนี้ นายช่วง พูดเอาจริงไม่พูดเอาเล่นเหมือนคราวที่แล้ว แกรีบจุดเทียน ตั้งพิธี แล้วพนมมือ กล่าวคำขอขมาถึง น้าเจ้าฯ ด้วยความเคารพว่า “ขอน้าเจ้าฯช่วยให้หายปวดหัวเร็วๆเถิด พรุ่งนี้จะไปขอไม้ขีดไฟแน่นอน” และแน่นอนเหมือนกัน ครู่เดียว นายช่วง ก็หายปวดหัวเป็นปกติ
รุ่งเช้า นายช่วง ก็จัดสำรับกับข้าวคาวหวาน ใส่ปิ่นโต นำปิ่นโต พร้อมธูปเทียนดอกไม้ ไปกราบนมัสการแก้บน โดยขอไม้ขีดไฟจาก น้าเจ้าพรหม 1 กล่อง แล้วนายช่วงก็กราบนมัสการลา น้าเจ้าพรหม กลับบ้านตามสบาย
ข้อสังเกต: สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงนั้น ย่อมมีความเที่ยงธรรมต่อผู้ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ กรณีของ นายช่วง เป็นการท้าทายอำนาจลึกลับ แต่นายช่วงก็ได้รับการอภัย ซึ่งจะหาได้ยาก นอกจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงเท่านั้น ที่ไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อบุคคลอย่าง นายช่วง
จาก: หนังสือที่ระลึก บำเพ็ญกุศลอุทิศถวายประจำปี 16 มกราคม 2536

เรื่องที่5…..
นายขำ ไชยอินทร์ ได้อุปสมบท อยู่จำพรรษา ณ วัดน้ำขาวใน เป็นเวลา 3 เดือน เมื่อครบไตรมาศ ออกพรรษาแล้ว พระภิกษุขำ ได้จัดธูปเทียนดอกไม้ ขึ้นกราบนมัสการขอลาสิกขา ต่อ พระครูพรหมวุฒาจารย์ เมื่อทำกิจวัตร กล่าวคำขอเพื่อลาสิกขาบทเสร็จแล้ว พระครูพรหมฯ จึงจัดการทำพิธีลาสิกขาบทให้เรียบร้อยแล้ว ก่อนที่ นายขำ จะลากลับบ้าน พระครูพรหมฯ ท่านสั่งว่า “ขำ ออกไปคราวนี้ ขออย่าดื่มเหล้าได้ไหม” นายขำ รับว่า “ครับ ต่อนี้ไป ผมจะไม่ดื่มเหล้าเป็นอันขาด ถ้าผมผิดสัญญา ขอให้มีอันเป็นไป…ต่างๆ เหมือนที่ผมพูดต่อหน้าอาจารย์นี้แหละครับ” แล้วนายขำก็กราบลา ท่านพระครูพรหมฯ จากไป
หลายปีต่อมา เมื่อ พ.ศ.2512 พระครูพรหมวุฒาจารย์ ชรามากแล้ว เกิดอาพาธด้วยโรคลมปัจจุบัน ถึงแก่มรณภาพที่โรงพยาบาลสงขลา คณะศิษยานุศิษย์ ญาติ มิตร ได้นำศพกลับมาบำเพ็ญกุศล ที่ วัดน้ำขาวใน กำหนดงาน 7 วัน 7 คืน ในคืนสุดท้าย นายขำ ไปเที่ยวงานด้วย ทำผิดสัญญา ดื่มเหล้าจนเมาได้ที่ เดินไปเจอกับนักเลงเหล้าด้วยกัน เกิดขัดคอทะเลาะกัน จน นายขำ ถูกแทงด้วยมีดปลายแหลม เสียชีวิต ในงานศพ ท่านพระครูพรหมฯ ตามคำที่ นายขำ เคยสาบานไว้ตอนลาสึกจากพระ
ข้อสังเกต: จะเป็นการบังเอิญหรืออะไรก็แล้วแต่ เมื่อ นายขำ ไปเสียชีวิตในงานศพ ท่านพระครูพรหมฯ พอที่จะอนุโลมเข้ากันได้กับคำที่ นายขำ พูดไว้ต่อหน้าอาจารย์ในครั้งกระโน้น
จาก: หนังสือที่ระลึก บำเพ็ญกุศลอุทิศถวายประจำปี 16 มกราคม 2536

เรื่องที่6…..
นายชื่น ไชยอินทร์ นึกสงสัยอยู่ไม่หาย ที่ชาวบ้านเขาพูดกันว่า นายขำ บิดาตนไปเสียชีวิตในงานศพ พระครูพรหมวุมาจารย์ นั้น เพราะไปสาบานเอาไว้ต่อหน้า พระครูพรหมฯ แต่ นายชื่น มีเหรียญ พระครูพรหมฯ อยู่ 1 เหรียญ อยากจะพิสูจน์ว่าศักดิ์สิทธิ์จริงหรือเปล่า นายชื่น จึงเอาเหรียญไปแขวนไว้กับกิ่งไม้ เสร็จแล้วพนมมือขึ้นกล่าวคำประกาศว่า “ถ้าเหรียญพระครูพรหมฯ ศักดิ์สิทธิ์จริง ขออย่าให้มีอันตรายจากกระสุน”
ว่าแล้ว นายชื่น ออกมายืนอยู่ระยะห่างพอประมาณ ชักปืนลูกซองสั้นออกมากุมไว้แน่น เล็งตรงไปที่เหรียญแขวนอยู่กับกิ่งไม้ นายชื่น เหนี่ยวไกปืน แชะ แชะ กี่ครั้งๆปืนก็ไม่ยอมลัน นายชื่น ชักสงสัย จึงชูกระบอกปืนขึ้นฟ้า กดทีเดียวปืนลั่นโป้ง นายชื่น หายสงสัย เข้าไปกราบเหรียญขอขมา แล้วปลดเหรียญจากกิ่งไม้มาแขวนคอกลับบ้าน้วยความพอใจ
ข้อสังเกต: ทำไมปืนไม่ลั่นขณะส่องไปที่เหรียญ แต่พอส่องขึ้นฟ้าปืนลั่น ขอให้ท่านใช้วิจารณญาน วินิจฉัยเอาก็แล้วกัน
จาก: หนังสือที่ระลึก บำเพ็ญกุศลอุทิศถวายประจำปี 16 มกราคม 2536

เรื่องที่7…..
นายจัด พรหมมณี ไปช่วยเพื่อนเผาป่าพร้อมด้วยพรรคพวก 5 – 6 คน พอจุดไฟเสร็จก็เกิดลมพัดกระโชกมาโดยแรง ทำให้ไฟลุกกระเพื่อมโหมไหม้ป่าอย่างรวดเร็ว จนไฟลามไปไหม้สวนยางที่อยู่ข้างเคียง ต่างคนต่างก็ตกใจ แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะไฟมีความร้อนสูงมาก นายจัดและพรรคพวก จึงออกมาตั้งหลักอยู่ระยะห่างจากรัศมีความร้อนพอประมาณ นายจัด นึกขึ้นได้พนมมือขึ้นกล่าวคำประกาศ หลวงพ่อพรหมฯ ว่า “ลุงเจ้าช่วยด้วย ถ้าลุงเจ้าไม่ช่วยฉิบหายแน่” (ลุงเจ้า หมายถึง หลวงพ่อพรหมฯ ซึ่งตามลำดับญาติมีศักดิ์เป็นโยมลุง ของ นายจัด)

นายจัด เล่าว่า สักครู่ได้ยินเสียงฟ้าครางครึมๆครืนๆ 2 – 3 ครั้ง เมฆก็ตั้งเค้าขึ้นมาทันที ทั้งที่วันนั้นอากาศก็โปร่งใส ประเดี๋ยวเดียวฝนก็เทลงมาห่าใหญ่ ไฟดับสนิทในช่วงเวลาไม่เกิน 10 นาที นายจัดกับพวก ไปสำรวจตรวจดูสวนยางที่ไฟลามไหม้ ปรากฏว่า เสียหายเพียงเล็กน้อย
ข้อสังเกต: ขณะที่ นายจัด ไม่มีเหรียญอยู่ในตัว แต่อภินิหารความศักดิ์สิทธิ์ใน หลวงพ่อพรหมฯ โดยตรงก็บันดาลให้ฝนตกช่วยระงับไฟไว้ได้
ภาพถ่าย: ภาพ นายจัด ถ่ายเมื่อ ปี 2554 ครูยะ สัมภาษณ์เก็บข้อมูล ภูมิปัญญาท้องถิ่น

เรื่องที่8…..
คณะมโนราห์พิณพันธ์ กลับมาจากแสดงงาน วัดบูรณาราม (วัดคลองแงะ ต.น้ำขาว) เดินทางโดยรถยนต์พร้อมทั้งคณะเต็มคันรถ พอมาถึงคลองแฟบ ต.คู อ.จะนะ รถเกิดเสียหลักพลัดตกคู คณะนักแสดงทั้งชายหญิงซึ่งอยู่ในรถ ก็ร้องหวีดกรีดเกรียวด้วยความตกใจ จนขวัญหนีดีฝ่อ พอคุมสติได้ก็สำรวจดูกันว่าใครเป็นอะไรบ้าง ปรากฎว่าปลอดภัยด้วยกันทุกคน เพียงแต่หัวโหนกหัวโนกันบ้างที่โดนเอาของแข็งภายในรถ
ข้อสังเกต: สืบเนื่องมาจากหัวหน้าคณะ ได้รับเหรียญ หลวงพ่อพรหมฯ จาก น้าหลวงเนียม รักษาการแทนเจ้าอาวาส วัดบูรณาราม ตอนที่ขึ้นกราบลากลับ ซึ่ง น้าหลวงฯ มอบให้ไปหลายเหรียญ เพื่อแจกลูกน้อง(นักแสดง) ตามที่เห็นสมควร ก็เพราะเหรียญ พ่อหลวงพรหมฯ นี่แหละ ที่ช่วยให้ความคุ้มครอง คณะมโนราห์ ปลอดภัยจากอุบัติเหตุรถตกคู
จาก: หนังสือที่ระลึก บำเพ็ญกุศลอุทิศถวายประจำปี 16 มกราคม 2536

เรื่องที่9…..
นายประยูร (หมอก้วน) นางบัวผิน แก้วศรี และ ด.ช.ประสาท แก้วศรี (บุตร) พร้อมคณะ เหมารถยนต์โดยสารไปร่วมพิธีงานมงคลสมรส บุตรสาว คุณหมออร่าม แก้วนพรัตน์ ที่ อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช พักบ้าน หมออร่าม 1 คืน รุ่งขึ้นเช้าตอนสาย เด็กชายประสาท เกิดอุบัติเหตุรถชนตรงหน้าบ้าน คุณหมออร่าม นั่นเอง
สืบเนื่องจาก นายประยูร ไปพาเพื่อนซึ่งอยู่บ้านพักอีกฟากถนนตรงข้าม บ้าน หมออร่าม แต่ไม่ได้นำ เด็กชายประสาท ไปด้วย ขณะที่ นายประยูร เดินข้ามถนนเลยไปแล้ว เด็กชายประสาท เหลือบไปเห็นเข้า ก็วิ่งตามคุณพ่อไป โดยที่ไม่มีใครรั้งมือ เด็กชายประสาท เอาไว้ได้ ขณะนั้นมีรถปิคอัพคันหนึ่งวิ่งมาด้วยความเร็ว อยู่ในระยะกระชั้นชิด โชว์เฟอร์เหยียบเบรคจนตัวโก่ง ไม่สามารถให้รถหยุดได้ในทันที จึงพุ่งเข้าชน เด็กชายประสาท กระเด็นไปตกกลางถนนทางด้านหน้า รถก็หมดฤทธิ์จอดนิ่งอยู่กับที่ทันที
ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์อยู่อย่างใกล้ชิด ตกใจทำอะไรไม่ถูก ร้องหวีดว้ายจนทำอะไรไม่ได้ เมื่อตั้งสติได้ก็กรูกันเข้าไป ขณะเดียวกับที่โชว์เฟอร์ตีนผีเตรียมจะหนี เพราะกลัวถูกประชาทัณฑ์ จึงขับรถเหยียบซ้ำอีกครั้ง หวังจะให้ตายคาที่ แล้วขับรถหนีไปตามระเบียบ ส่วน เด็กชายประสาท มีอาการแต่เพียงสลบ เพราะอภินิหารเหรียญ หลวงพ่อพรหมฯ ช่วยคุ้มครองไว้
ขอสรุปว่า: นายประยูร รีบนำบุตรชาย ส่งอนามัยอำเภอทันที แพทย์อนามัย เห็นอาการเหลือฝีมือตนเอง จึงทำหนังสือมอบให้ นายประยูร นำบุตรชายไปส่งที่ โรงพยาบาลจังหวัดนครศรีธรรมราช นายแพทย์ตรวจอาการภายนอกภายในเสร็จแล้ว ปรากฏว่าไม่เป็นอะไรมากนัก จึงรับไว้เป็นคนไข้นอก อยู่โรงพยาบาล 4 – 5 วัน อาการค่อยดีขึ้นเรื่อยๆ แพทย์เห็นว่าปลอดภัย จึงอนุญาตให้กลับได้

เรื่องที่10…..
นายเนี่ยม ขันแก้ว ไปถางต้นกกที่ทุ่งนา เมื่อไปถึงเห็น เด็กชายสมเกียรติ หนูเกื้อ หาปลาอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว เพราะมีปลาชุกชุมแอบแฝงอยู่ตามก่อกก ระดับน้ำลึกเพียงแค่ตาตุ่ม นายเนี่ยม ถางกกเสียงพร้ากระทบผิวน้ำดังสวบๆ ทำเอาฝูงปลาแตกตื่นวิ่งออกพล่าน เด็กชายสมเกียรติ เห็นปลาวิ่งออกขวักไขว่ ก็วิ่งไล่จับอย่างสนุกโดยขาดความระมัดระวังตัว ตามประสาเด็ก แม้แต่ นายเนี่ยม ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ ก็ไม่เฉลียวใจว่าในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านั้น อะไรจะเกิดขึ้น

นาทีวิกฤต ขณะที่ นายเนี่ยม เหวี่ยงพร้า หวดต้นกก โดยไม่คาดฝัน ประจวบกับที่ เด็กชายวมเกียรติ ไล่จับปลาเข้าไปโดยไร้สำนึก ตามประสาเด็กอายุ 7 – 8 ขวบ จึงเป็นจังหวะพอดี โดนทั้งคมพร้าทั้งต้นกกมารวมกันที่ท้อง ของ เด็กชายสมเกียรติ ถึงกับล้มลง นายเนี่ยม เห็นดังนั้นก็ตกใจทำอะไรไม่ถูก ยืนงงหน้าซีดเป็นไก่ต้ม พอดึงสติกลับมาได้ ก็รีบไปประคอง เด็กชายสมเกียรติ ให้ลุกขึ้น เอามือลูบซ้าย-ขวา-หน้า-หลัง ไม่พบบาดแผล มีเพียงรอยช้ำที่หน้าท้อง ตรงที่ถูกคมพร้าเท่านั้น ปรากฏว่า เด็กชายสมเกียรติ มีเหรียญ หลวงพ่อพรหมฯ ห้อยคออยู่ด้วย นายเนี่ยม ยืนถอนหายใจอย่างโล่งอก เป็นอันหมดสิทธิ์ติดคุกตั้งแต่วันนั้นมา
ข้อสังเกตุ: ถึงขนาดนี้แล้ว ท่านยังไม่เชื่ออีกหรือ ว่า เหรียญหลวงพ่อพรหมฯ ศักดิ์สิทธิ์ขนาดไหน ขอให้อยู่ในวิจารณญานของผู้สันทัดกรณี ในเรื่องอภินิหาร จะทำการวิเคราะห์ต่อไป
จาก: หนังสือที่ระลึก บำเพ็ญกุศลอุทิศถวายประจำปี 16 มกราคม 2536

เรื่องที่11….
นางห้วย แก้วบุญ พักอยู่ที่ขนำสวนยางพารา คืนหนึ่งตอนย่ำรุ่ง นางห้วย ตื่นจากนอน เตรียมตัวจะออกกรีดยางพารา บังเอิญเกิดปวดท้อง มีอาการรุนแรงมาก ทนไม่ไหว จึงนอนดิ้นครวญครางร้องโอยๆอยู่คนเดียว
ขณะนั้น นางแวว บุตรดำ ซึ่ออาศัยอยู่อีกขนำใกล้ๆกัน กำลังออกไปกรีดยาง เดินผ่านมาทางนั้น ได้ยินเสียง นางห้วย ครวญครางอยู่ จึงแวะเข้าไปดู รู้ว่า นางห้วย ปวดท้อง แต่ นางแวว ไม่มียาอะไรสักขนานเดียวที่ช่วย นางห้วย ได้ ก็เลยนึกถึง เหรียญหลวงพ่อพรหมฯ ที่ตนห้อยคออยู่ ว่าน่าจะช่วยได้บ้าง จึงรีบไปหาน้ำใส่ขันมาวางไว้ตรงหน้า เอา เหรียญหลวงพ่อพรหมฯ หย่อนลงไปในขันทันที แล้วยกน้ำขึ้นเหนือหัวพร้อมกล่าวประกาศว่า “เดชะศักดิ์สิทธิ์ หลวงพ่อพรหมฯ ขอให้ นางห้วย หายปวดท้องด้วยเถอะ” นางแวว จึงส่งขันน้ำให้ นางห้วย ดื่มเข้าไป 4 – 5 อึก นั่งรอดูอาการอยู่ครู่หนึ่ง นางห้วย หายปวดท้องเป็นปกติ ออกไปกรีดยางได้สบาย
ข้อสังเกตุ: ใครจะว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรืออะไรก็ตามที แต่ที่ นางห้วย ดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ เหรียญหลวงพ่อพรหมฯ แล้วหายปวดท้องนั้น ไม่ใช่เป็นเหตุบังเอิญแน่นนอน แต่เป็นเพราะความศักดิ์สิทธิ์ของ เหรียญหลวงพ่อพรหมฯ นั่นเอง
จาก: หนังสือที่ระลึก บำเพ็ญกุศลอุทิศถวายประจำปี 16 มกราคม 2536

เรื่องที่12…..
พระครูสุวัฒนศีลคุณ (พุ่ม สุวฑฺฒโน) อดีตเจ้าอาวาส วัดน้ำขาวใน ท่านเล่าว่า วันหนึ่งท่านใส่กุญแจห้องแล้วถอดพวงกุญแจซุกไว้ใต้หมอน ลงจากกุฏิไปสรงน้ำข้างล่าง เสร็จแล้วกลับขึ้นกุฏิ จะเข้าห้อง บังเอิญทำให้ลืมเสียสนิท ไม่รู้ว่าเอาพวงกุญแจไว้เสียที่ไหน หาเท่าไหร่ๆก็ไม่เจอจนหมดหนทาง ท่านก็นึกถึง พระครูพรหมฯ ขึ้นมาทันทีว่า น่าจะลองดู ฟังคำที่ท่านพูดออกมาเป็นไปในทำนองซึ่งแฝงไปด้วยมานะทิฐิอยุ่นิดๆว่า “ดีจริง ลองให้พบพวงกุญแจดูที จะได้นับถือต่อไป” แค่นี้เอง สักครู่ ท่านก็ได้ยินเสียงดังกริ๊กๆดังขึ้น ตรงที่พวงกุญแจวางอยุ่ใต้หมอน ท่านก็นึกได้ทันทีว่า ได้เอาพวงกุญแจไปไว้ที่นั่นจริง จึงไปเลิกหมอนดู เห็นมีพวงกุญแจวางอยู่ใต้หมอนจริง ท่านพูดให้ฟังโดยไม่ค่อยสนิทใจว่า พอจะเชื่อได้อยู่บ้าง

ข้อสังเกตุ: แม้ว่าพระครูสุวัฒนฯ จะเป็นหลานของ ท่านพระครูพรหมฯ ก็จริง แต่เมื่อครั้งที่ ท่านพระครูฯทั้งสอง ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ค่อยลงสัฆกรรมทางความคิดกันเท่าใดนัก (มีความคิดเห็นไม่ค่อยตรงกัน) จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าวิญญานศักดิ์สิทธิ์ ท่านพระครูพรหมฯ แสดงอภินิหารให้ พระครูสุวัฒนฯ ยอมรับ ก้พอจะเป็นไปได้

เรื่องที่13…..
นายประจักษ์ จันทร์เพชร พร้อมด้วยภรรยา กลับจากทำธุระที่สงขลาโดยรถปิ๊กอัพส่วนตัว พอรถวิ่งมาถึงตรงทางเลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมันทุ่งหวัง มีรถบรรทุกหกล้อวิ่งออกจากปั๊มน้ำมันพอดี ชนโครมเข้าด้านซ้ายรถ นายประจักษ์ จนประตูพัง จนต้องซ่อมกันราคาเป็นหมื่นๆบาท ปรากฏว่า นายประจักษ์ และภรรยาได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย เพราะ นายประจักษ์ มี เหรียญหลวงพ่อพรหมฯ ติดตัวไปด้วย จึงปลอดภัย
ข้อสังเกตุ: ณ ที่ตรงนั้น ชาวบ้านที่นั่นเล่าให้ฟังว่า มีอุบัติเหตุบ่อยครั้ง แต่ละครั้งมีบาดเจ็บสาหัสเกือบทุกราย หรือที่เสียชีวิตไปก็มี แต่ นายประจักษ์ กับภรรยา ไม่เป็นเหมือนรายอื่นเขา นั่นแสดงว่า เหรียญหลวงพ่อพรหมฯ คุ้มครองไว้ได้
จาก: หนังสือที่ระลึก บำเพ็ญกุศลอุทิศถวายประจำปี 16 มกราคม 2536

เรื่องที่14…..
งานทำบุญ ปู่เจ้าพรม วัดน้ำขาวใน ตำบลน้ำขาว อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา มีเป็นประจำทุกปี ในวันที่ 16 มกราคม เมื่อปี2553 ในงานตืนวันที่ 16 ได้รับ โนราวิเชียร ศรชัย หรือที่ชาวบ้านได้รู้จักกันในชื่อ โนราไข่เหลี้ยม มาแสดงให้ชม มีผู้มีจิตศรัทธาและนับถือใน ปู่เจ้าพรหม มาร่วมงานกันหนาแน่น พูดได้ว่าวัดแทบแตกเลยทีเดียว
ในการแสดงตอนหนึ่ง โนรา ได้กล่าวถึงว่า “ฝนตกก็ดีเหมือนกัน ได้เลิกเร็วๆ” วันนั้นตั้งแต่กลางวัน ถึงกลางคืน ไม่มีวี่แววว่าฝนจะตก แต่หลังจากได้พูดแบบนั้นไปแล้วไม่นาน ฝนตกหนักมาก จากในวัดที่มีแต่ฝุ่น บัดนี้มีน้ำคึงขังในที่ๆเป็นหลุมบ่อ ผู้ชมต่างวิ่งหลบฝน ตามอาคารต่างๆขอวัด หรือตามเต้นท์ร้านค้าที่ไปขายในงาน เมื่อฝนแล้งก็ออกไปชมกันอีก ไม่มีท้อถอย โนราแสดงไปได้สักพัก ฝนตกก็อีกทำท่าหนักกว่าเก่า
คณะกรรมการจัดงาน ซึ่งนำโดย คุณอภิญญา ยอดแก้ว ต่างก็กังวลใจ คืนนี้สงสัยจะอดชม โนรา กันแล้วแน่นนอน แต่ทำไมไม่มีวี่แววว่าฝนจะตกกลับตกหนักแบบนี้ หรือมีอะไรผิดปกติ ก็นึกขึ้นได้ว่าการแสดงตอนหนึ่ง ของโนรา ที่กล่าวว่า… “ฝนตกก็ดีเหมือนกัน ได้เลิกเร็วๆ” อาจจจเป็นการกล่าวที่ไม่เหมาะสม
ทางคณะกรรมการจัดงาน เลยให้ โนราไข่เหลี้ยม ไปขอขมาคำพูดที่กล่าวออกไป และรำโนรา ถวาย หน้ารูปเหมือนหลวงปู่พรหม ทันใดนั้นฝนก็แล้ง โนราก็แสดงได้เหมือนเดิม และหลังจากนั้นฝนไม่ตกอีกเลย เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นสดๆร้อนเมื่อคืนนี้เอง ผู้เขียนได้ประสบ มากับตัวเอง และเหตุการณ์นี้คงเป็นบทเรียน ให้โนราไข่เหลี้ยม และพวกเราทุกคนในคืนนั้นว่า การจะพูดจะจาอะไร ควรระวังคำพูดไว้บ้าง อย่าพูดเอาแต่หรอย





โดยสมาชิก ชื่อ เดียว ทะเลจืด
จากกลุ่ม ตลาดนัด ตลาดประมูล ซื้อขาย พระเครื่อง พระบูชา by ทะเลจืด