กฤษณะตรัสสืบไปว่า
อรชุน! มีเรื่อง

กฤษณะตรัสสืบไปว่า
อรชุน! มีเรื่องเล่ากันมาว่าต้นไม้ชนิดหนึ่งชื่ออัศวัตถะ เป็นต้นไม้อมตะไม่รู้จักแก่และตาย ต้นอัศวัตถะนี้มีรากอยู่บนต้น ส่วนใบและกิ่งก้านนั้นอยู่เบื้องล่างของลำต้น
ใบของต้นอัศวัตถะเรียกกันว่าพระเวท ผู้ใดรู้จักต้นไม้ชนิดนี้ ผู้นั้นย่อมรู้จักพระเวท
กิ่งของต้นไม้นั้นแผ่ไปทั้งเบื้องล่างและเบื้องบน อาศัยคุณะทั้งสามคือสัตตวะ รชะ และตมะเป็นน้ำหล่อเลี้ยง มีวิสัยกล่าวคืออารมณ์เป็นช่อดอกและผล ส่วนเบื้องล่างนั้นเล่า รากของอัศวัตถพฤกษ์นั้นประกอบขึ้นจากกรรม แผ่เลื้อยไปในมนุษย์โลกตลอดสิ้นทุกถิ่นที่

ไม่มีใครในโลกนี้สามารถมองเห็นต้นไม้นี้ ยอด โคน ตลอดจนสถานที่ตั้งของมันก็ไม่ปรากฏ
ต้นไม้นี้จะทำลายให้โค่นลงได้ต้องเอาอาวุธคือ ความไม่ยึดมั่นถือมั่น เท่านั้นเข้าตัด
ผู้หวังประสบชีวิตนิรันดร พึงทำลายต้นไม้นี้เสียด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่นในสรรพสิ่ง แล้วก้าวไปข้างหน้าสู่อมตมรรคา ที่ใครได้เดินไปแล้วไม่ต้องหวนกลับมาเวียนว่ายในห้วงทุกข์อีก

ผู้ใดปราศจากความถือตัวและความลุ่มหลง สามารถเอาชนะความยึดมั่นถือมั่นได้อย่างเด็ดขาด มีจิตตั้งมั่นไม่แคลนคลอนในอาตมัน มีใจหลุดพ้นจากความกระหายอยากอันไม่สิ้นสุดและมีชีวิตเป็นอิสระจากความยึดติดในสภาวธรรม อันเป็นคู่เช่นสุข-ทุกข์ ผิดหวัง-สมหวัง เป็นต้น
คนเช่นนี้ย่อมบรรลุถึงทิพยสถานอันเป็นนิรันดร

ทิพยสถานนั้น ดวงตะวัน ดวงเดือน ตลอดจนประกายเพลิงอื่นๆ มิอาจส่องไปถึง ที่แห่งนั้นคือบรมศานติสถานของเราเป็นสถานที่ที่ใครได้ไปแล้วจะไม่มีวันกลับมาเวียนว่ายในห้วงแห่งสังสารวัฏฏ์อีก

อรชุน! มีธรรมชาติอยู่อย่างหนึ่งเรียกว่าชีวภูต ชีวภูตนี้เป็นภาคหนึ่งของเรา เมื่อชีวภูตเข้าสิงสู่ร่างกายมนุษย์ ชีวภูตนี้จะทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมอินทรีย์ทั้งหกคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
เมื่อชีวภูตลอยล่องออกจากร่าง ชีวภูตย่อมพาเอาอินทรีย์เหล่านี้ไปด้วย อุปมาดังลมพัดพาเอากลิ่นไปฉะนั้น* (ตัวอย่างยืนยันความเชื่อนี้จะเห็นได้จากเวลาที่คนตาย ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจของเขาจะหมดความหมายทันที ไม่อาจใช้งานได้ดังแต่ก่อนเพราะไม่มีชีวภูตควบคุมการทำงาน ชาวฮินดูจึงถือว่าเมื่อชีวภูตลอยออกจากร่าง ชีวภูตนั้นได้พาเอาอินทรีย์ทั้งหกไปด้วย -ผู้แปล)

เมื่อยังสิงสถิตอยู่ในร่างตราบใด ชีวภูตก็จะยังใช้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เป็นสื่อรับรู้อารมณ์อยู่ตราบนั้น
ผู้ด้อยปัญญาย่อมมองไม่เห็นชีวภูตอันอยู่เบื้องหลังการรับรู้อารมณ์และการเคลื่อนไหวของร่างกายนี้ได้ ผู้มีดวงตาคือปัญญาเท่านั้นจึงจะหยั่งเห็นความลี้ลับแห่งชีวภูตนี้
ชีวภูตนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอาตมัน

ผู้มีใจตั้งมั่นในโยคธรรมย่อมมองเห็นอาตมันนี้ได้ ส่วนผู้มีใจฟุ้งซ่านขาดความแน่วแน่เด็ดขาดถึงเพียรปรารถนาจะเห็นอย่างไรก็ไม่อาจพบพานอาตมันได้เลย

รังสีจัดจ้าแห่งดวงตะวันที่แผดแผ่ลงมายังโลกนี้ก็ดี รัศมีนวลอ่อนแห่งดวงเดือนอันทอทาบลงสู่แผ่นปฐพีนี้ก็ดี ประกายเพลิงอันเร่าร้อนทั้งมวลในโลกนี้ก็ดี ความแผดร้อนอันแฝงอยู่ในสิ่งดังที่ว่ามานี้ จงทราบเอาไว้เถิดอรชุนว่านั่นคืออานุภาพของเรา

อรชุน! เราคือธาตุอาหารที่แทรกอยู่ในดินคอยหล่อเลี้ยงชีวิตแห่งพืชพันธุ์ทั่วทั้งปฐพีให้ตกดอกออกผลเลี้ยงดูโลก
เราคือความอบอุ่นในร่างมนุษย์และสัตว์ และเรานี่เองที่เป็นความร้อนอันเผาผลาญอาหารที่มนุษย์และสัตว์กินลงไปให้ย่อย
เราแทรกอยู่ในลมหายใจเข้าออกของมนุษย์และสัตว์ทุกชนิด
เราสถิตอยู่ในหัวใจของสรรพสัตว์ เราเป็นสติเป็นปัญญาของสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น และการที่มนุษย์หรือสัตว์มีสติปัญญาแตกต่างกันนั้นก็เป็นผลจากการกำหนดของเรานี่เอง

อรชุน! ในโลกนี้มีสภาวธรรมอยู่สองประเภท ประเภทที่หนึ่งเรียกว่ากษรธรรมหมายถึงสิ่งอันแปรเปลี่ยนสิ้นสลายไปได้ ประเภทที่สองเรียกว่าอักษรธรรมหมายถึงสิ่งอันยั่งยืนเป็นอมตะไม่รู้จักแปรผันสูญสลาย
สิ่งที่เกิดขึ้นมาเพราะมีปัจจัยหนุนส่งทุกอย่างเป็นกษรธรรม ส่วนสิ่งใดเกิดขึ้นโดยปราศจากปัจจัยปั้นแต่ง สิ่งนั้นเป็นอักษรธรรม

แต่ก็ยังมีสภาวะธรรมอยู่อีกอย่างหนึ่งที่อยู่เหนือสภาวธรรมสองประเภทนี้ สิ่งนี้เรียกว่าปรมาตมัน
อรชุน! เราคือปรมาตมัน! เราคือผู้สูงสุดเหนือสรรพสิ่งในจักรวาล!
ผู้ใดทราบความจริงอันนี้ ผู้นั้นชื่อว่าหยั่งทราบแล้วซึ่งสรรพสิ่งในโลก

อรชุน! ความลี้ลับแห่งปรมาตมันเราได้บอกแก่ท่านจนจบสิ้นกระแสความแล้ว ทราบไว้เถิดอรชุนว่าใครก็ตาม
ที่รู้แจ้งรหัสยนัยที่กล่าวมานี้ ผู้นั้นชื่อว่ากระทำกิจแห่งความเป็นคนได้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว



โดยสมาชิก ชื่อ Surasak Prompakdee
จากกลุ่ม ชมรมคนรักพระเหรียญ จักรเพชร พระพรหมธาดา และเหรียญเกจิอาจารย์ทั่วไป